มูลนิธิสวนแก้ว

มูลนิธิสวนแก้ว เพื่อพัฒนาสังคมคุณภาพชีวิต

วัดสวนแก้ว จังหวัดนนทบุรี ที่มี “พระพยอม กัลยาโณ” เป็นเจ้าอาวาส คืออีกหนึ่งสถานศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวนนทบุรี รวมถึงผู้คนละแวกใกล้เคียงนิยมเดินทางไปแวะเวียนเยี่ยมชม พร้อมกับทำบุญ ถวายสังฆทาน ฟังเทศน์ฟังธรรมกันอยู่บ่อยๆ เนื่องด้วยตัววัดนั้นมีพื้นที่ขนาดใหญ่มาก เริ่มตั้งแต่ด้านหน้ามีการตั้งขายสินค้ามือสอง ขายพืชผลทางการเกษตร ส่วนภายในวัดจะมีทั้งบริเวณถวายสังฆทาน มีทั้งสวนแยกต่างๆ รองรับนักท่องเที่ยว ทั้งที่ให้อาหารสัตว์ ,สวนน้ำตก และศาลากลางน้ำ ส่งผลให้วัดแห่งนี้จึงได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย ที่สำคัญยังจัดเป็นวัดเก่าแก่ที่มีประวัติเรื่องราวน่าศึกษาอย่างมาก ซึ่งก็แน่นอนว่าบทความนี้จะขอพาไปรู้จักกับประวัติความเป็นมาของวัดสวนแก้วหรือมูลนิธิสวนแก้วกัน

วัดสวนแก้ว อยู่ที่ 55/1 หมู่ที่ 1 ตำบลบางเลน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี เป็นวัดร้างมานานถึง 80 ปี จากนั้นได้มี “หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ”เข้ามาพำนัก ร่วมกับพระภิกษุอีกประมาณ 4 รูป ณ เวลานั้นเนื่องจากพื้นที่บริเวณของวัดล้วนเต็มไปด้วยเรือกสวน หลวงพ่อเทียนจึงมีความประสงค์ต้องการบูรณะวัด แต่ก็ไม่สามารถทำการบูรณะได้ เพราะขาดบุคลากรในการจะช่วยพัฒนา ถัดมาในปีพ.ศ.2521 “พระพยอม” ได้เดินมายังวัดแก้วร่วมกับเพื่อนพระภิกษุ เพื่อกราบไหว้หลวงพ่อเทียน พร้อมกับขอจัดทำโครงการบวชเณรภาคฤดูร้อนที่วัดแห่งนี้ และแล้วหลวงพ่อเทียน ท่านก็ได้ตอบรับอนุญาต ที่สำคัญท่านยังช่วยสนับสนุนโครงการดังกล่าวอย่างเต็มที่ ด้วยการเป็นพี่เลี้ยงให้เณร

แต่ทว่าในปีพ.ศ.2522 หลวงพ่อเทียนกลับตัดสินใจมอบหมายให้พยอมและพระภิกษุรูปอื่นๆ ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลวัดแก้วต่อไป ส่วนตัวหลวงพ่อเทียนท่านได้เดินทางกลับจังหวัดเลย หลังจากนั้นพระพยอม ท่านทรงทุ่มเทชีวิต กาย ใจเพื่อดูแล รักษาวัดแก้วอย่างเต็มที่ ด้วยการนำทรัพย์สินส่วนตัวมาพัฒนา บูรณะวัด และในภายหลังวัดก็ถูกเปลี่ยนชื่อจากวัดแก้วไปเป็น “วัดสวนแก้ว” โดยพระพยอมได้ทำการพัฒนาบริเวณพื้นที่ของวัด รวมถึงยังได้จำลองให้วัดแห่งนี้เป็นสวนโมกขพลาราม ตามคำที่ท่านพุทธทาสภิกขุเคยปรารภ เมื่อคราวที่ท่านยังศึกษาธรรมอยู่ ณ สวนโมกข์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ต่อมาหลังจากที่ท่านพัฒนาวัดจนมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมแล้ว ท่านก็ได้เดินหน้ามุ่งเผยแพร่พุทธศาสนาอีกครั้ง

Suan-Kaew-Foundation

ปีพ.ศ.2529 เนื่องจากเป็นปีที่พระพยอมได้รับกิจนิมนต์มาก จึงทำให้ท่านทราบถึงปัญหามากมายของผู้คนระดับกลางลงมา แน่นอนว่าบรรดาผู้คนเหล่านั้นมีพฤติกรรมที่ไม่ดีเอาซะเลย ทั้งใฝ่ต่ำเรื่องเพศ เรื่องเหล้า เมายา ไม่เคยคิดจะพัฒนาตัวเองใดๆ เป็นต้น ดังนั้นพระพยอมจึงได้ทำการรวบรวมทุนทรัพย์ส่วนตัวของท่านอีกครั้ง ซึ่งมีอยู่ในจำนวนที่ไม่มากนัก เพราะก่อนหน้าได้นำไปพัฒนาวัด โดยในครั้งนี้ท่านนำทรัพย์ส่วนตัวไปซื้อที่ดินบริเวณใกล้เคียงออกไปอีก เพื่อความสะดวกในการบริหารงานช่วยสังคม รวมถึงท่านยังมีปณิธานเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ พร้อมๆ กับการเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า จนนำไปสู่หนทางเพื่อให้ทุกๆ คนได้รู้จักการใช้หลักธรรมในการดำเนินชีวิตและแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง จนในที่สุดพระพยอมก็ได้จัดตั้งมูลนิธิสวนแก้วขึ้นมา ซึ่งตรงกับปีพ.ศ.2529 โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ดังนี้

  • เพื่อเผยแผ่ศีลธรรมในศาสนา
  • เพื่อสนับสนุนให้กำลังใจแก่ผู้กระทำความดี
  • เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้คนดีมีสัมมาชีพ

หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2548 ทางมูลนิธิสวนแก้วยังได้รับการรับรองให้กลายเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ (ทะเบียนเลขที่ 0163) ตามความในมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ. 2546 ภายใต้ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์อีกด้วย โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 6 ประการ ดังนี้

  • เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา
  • เพื่อส่งเสริมศีลธรรม จรรยาอันดี
  • เพื่ออนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรมและประเพณีไทย
  • เพื่อทำงานร่วมกับองค์การการกุศล เพื่อสาธารณประโยชน์
  • ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่อย่างใด
  • จัดการศึกษาและส่งเสริมการศึกษา